Blog

แนวคิดใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคดิจิทัล – Agile, DevOps, AI และ Cloud ที่องค์กรต้องรู้

แนวคิดใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคดิจิทัล – Agile, DevOps, AI และ Cloud ที่องค์กรต้องรู้

แนวคิดใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคดิจิทัล – Agile, DevOps, AI และ Cloud ที่องค์กรต้องรู้

Student blog — 07/05/2025

แนวคิดใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคดิจิทัล – Agile, DevOps, AI และ Cloud ที่องค์กรต้องรู้
บทนำ
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดให้ทำงานได้ แต่ต้องตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แนวคิดแบบดั้งเดิมอย่าง Waterfall ที่เน้นกระบวนการแบบเส้นตรงเริ่มแสดงข้อจำกัดในเรื่องความยืดหยุ่น ทำให้องค์กรหันมาใช้แนวคิดสมัยใหม่อย่าง Agile, DevOps และเทคโนโลยีล้ำยุคอื่นๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบสมัยใหม่ พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากบริษัทชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจากการนำแนวคิดเหล่านี้มาใช้
แนวคิดและหลักการสำคัญของกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบสมัยใหม่
1. Agile Software Development การพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างคล่องตัว
Agile เป็นแนวคิดที่ปฏิวัติวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเน้นการทำงานแบบเป็นรอบ (iterative) และส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะรอให้โครงการเสร็จสมบูรณ์แล้วค่อยส่งมอบ (Beck et al., 2001)
  • หลักการสำคัญ Agile Manifesto เป็นกรอบแนวคิดที่ปฏิวัติวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเน้นความยืดหยุ่น การทำงานร่วมกัน และการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างรวดเร็ว แนวคิดนี้ประกอบด้วย 4 ค่าหลัก ได้แก่ การให้ความสำคัญกับบุคคลและความสัมพันธ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริง การทำงานร่วมกับลูกค้า และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับ 12 หลักการ ที่เป็นแนวทางปฏิบัติ เช่น การส่งมอบซอฟต์แวร์บ่อยๆ การสื่อสารแบบตัวต่อตัว การปรับปรุงกระบวนการอย่างสม่ำเสมอ และการสร้างทีมที่จัดการตัวเองได้ ซึ่งหลักการทั้ง 12 ข้อ ที่เน้นการสื่อสารภายในทีม การส่งมอบงานที่ใช้งานได้จริง และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (Fowler & Highsmith, 2001) Agile ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
  • โมเดลยอดนิยม Scrum, Kanban, และ Extreme Programming (XP) เป็นโมเดลที่นิยมใช้ในองค์กรต่างๆ
  • ประโยชน์ ลดความเสี่ยงในการพัฒนา เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้ตลอดเวลา
2. DevOps การรวมทีมพัฒนาและปฏิบัติการ
DevOps เป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงการพัฒนา (Development) และการปฏิบัติการ (Operations) เข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (Bass, Weber, & Zhu, 2015) เพื่อให้การพัฒนาซอฟต์แวร์และการนำไปใช้งานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการใช้เครื่องมืออัตโนมัติ เช่น Continuous Integration (CI) และ Continuous Deployment (CD) เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน manual และเพิ่มความเสถียรของระบบ DevOps ส่งเสริมการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการ ช่วยให้องค์กรสามารถส่งมอบซอฟต์แวร์ได้เร็วขึ้น ลดข้อผิดพลาด และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง
  • เครื่องมือสำคัญ Jenkins, GitLab CI/CD, Docker, และ Kubernetes ช่วยในการทำ Continuous Integration (CI) และ Continuous Deployment (CD)
  • ประโยชน์ ลดเวลาในการส่งมอบงาน เพิ่มความเสถียรของระบบ และลดข้อผิดพลาดในการทำงาน
3. Microservices Architecture แบ่งงานให้เล็ก แต่ทรงพลัง
Microservices เป็นการออกแบบซอฟต์แวร์ให้แบ่งออกเป็นบริการย่อยๆ (services) ที่ทำงานได้อย่างอิสระ (Newman, 2015) และสื่อสารกันผ่าน API แต่ละบริการมีหน้าที่เฉพาะและสามารถพัฒนา ปรับปรุง หรือขยายขีดความสามารถได้โดยไม่กระทบกับบริการอื่นๆ รูปแบบนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและ scalability ของระบบ ทำให้องค์กรสามารถปรับปรุงและนำฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
  • ตัวอย่างบริษัท Jenkins, GitLab CI/CD, Docker, และ Kubernetes ช่วยในการทำ Continuous Integration (CI) และ Continuous Deployment (CD)
  • ประโยชน์ สามารถพัฒนาและปรับปรุงแต่ละบริการได้โดยไม่กระทบกับระบบทั้งหมด
4. Cloud Computing และ Serverless Computing พัฒนาได้ทุกที่ ทุกเวลา
เทคโนโลยีคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถปรับขนาดระบบได้ตามความต้องการ (Armbrust et al., 2010) เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยประมวลผล (CPU), ที่เก็บข้อมูล (Storage), และเครือข่าย (Network) ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องจัดการโครงสร้างพื้นฐานเอง ช่วยให้องค์กรสามารถปรับขนาดระบบได้ตามความต้องการและลดต้นทุน ส่วน Serverless Computing เป็นรูปแบบหนึ่งของ Cloud Computing ที่ผู้ใช้ไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง แพลตฟอร์มเช่น AWS Lambda หรือ Google Cloud Functions จะจัดการการทำงานของโค้ดอัตโนมัติ โดยเรียกใช้งานเมื่อมีเหตุการณ์ (event) เกิดขึ้นเท่านั้น ช่วยให้พัฒนาซอฟต์แวร์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Serverless Computing บริการเช่น AWS Lambda และ Google Cloud Functions ช่วยให้พัฒนาซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์
  • ประโยชน์ ลดต้นทุนในการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา
5. Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) พัฒนาอย่างชาญฉลาด
AI และ ML ถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ เช่น การตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ และการทดสอบซอฟต์แวร์อัจฉริยะ (Jordan & Mitchell, 2015) AI และ ML ถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ในหลายด้าน เช่น การตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ (Automated Code Review) ที่ช่วยหาข้อผิดพลาดและจุดที่ต้องปรับปรุงในโค้ด, การทดสอบซอฟต์แวร์อัจฉริยะ (Intelligent Testing) ที่ใช้ ML ในการสร้างและรันเทสต์เคสอัตโนมัติ, และการทำนายความเสี่ยง (Risk Prediction) ที่ใช้ข้อมูลจากโครงการก่อนหน้าเพื่อคาดการณ์ปัญหาและความล่าช้า นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการจัดการทรัพยากรและการวางแผนโครงการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ประโยชน์ เพิ่มความแม่นยำในการทดสอบ ลดเวลาในการพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพของซอฟต์แวร์
ตัวอย่างการนำแนวคิดไปใช้จริง
1. Spotify: Agile และ DevOps ในโลกแห่งดนตรี

รู้จักแนวคิด Agile, DevOps, Microservices, Cloud และ AI ที่ขับเคลื่อนการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคใหม่ พร้อมกรณีศึกษาจาก Netflix, Google, Spotify

Spotify ใช้ Agile และ DevOps เพื่อปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยจัดทีมงานเป็นหน่วยย่อยที่เรียกว่า “Squads” แต่ละทีมทำงานอย่างอิสระและรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของตัวเอง (Kniberg & Ivarsson, 2012) แต่ละ Squad มีหน้าที่พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ และปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้เครื่องมือ DevOps เพื่อทำ Continuous Integration (CI) และ Continuous Deployment (CD) ทำให้ Spotify สามารถส่งมอบฟีเจอร์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ทันที และรักษาความเสถียรของระบบแม้มีผู้ใช้จำนวนมาก วิธีการนี้ช่วยให้ Spotify เป็นผู้นำในวงการสตรีมมิ่งและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ทั่วโลก ผลลัพธ์คือ Spotify สามารถออกฟีเจอร์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ทันที
2. Netflix: Microservices และ AI ในโลกสตรีมมิ่ง

รู้จักแนวคิด Agile, DevOps, Microservices, Cloud และ AI ที่ขับเคลื่อนการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคใหม่ พร้อมกรณีศึกษาจาก Netflix, Google, Spotify

Netflix เป็นตัวอย่างชั้นนำของการใช้ Microservices และ AI เพื่อสร้างระบบสตรีมมิ่งที่มีประสิทธิภาพสูง โดย Netflix แบ่งระบบออกเป็นบริการย่อยๆ (Microservices) ที่ทำงานอย่างอิสระ ทำให้สามารถพัฒนา ปรับปรุง และขยายระบบได้อย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบส่วนอื่น โดยให้บริการสตรีมมิ่งที่มีความเสถียรสูง และใช้ AI เพื่อแนะนำเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ (Newman, 2015) นอกจากนี้ Netflix ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้และแนะนำเนื้อหา (Recommendation System) ที่ตรงกับความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้และรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ Netflix สามารถให้บริการสตรีมมิ่งที่เสถียรและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างทันท่วงที ผลลัพธ์คือ Netflix สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องแม้มีผู้ใช้จำนวนมาก และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
3. Google: Cloud Computing และ Kubernetes

Google ใช้ Cloud Computing และ Kubernetes เพื่อจัดการโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ทำให้สามารถปรับขนาดระบบได้ตามความต้องการ (Hightower, Burns, & Beda, 2017) เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยใช้คลาวด์เพื่อปรับขนาดระบบตามความต้องการและลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วน Kubernetes ซึ่งเป็นระบบจัดการคอนเทนเนอร์ที่ Google พัฒนาขึ้น ช่วยให้สามารถ deploy, scale, และจัดการแอปพลิเคชันได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ทำให้ Google สามารถให้บริการที่มีความเสถียรสูง เช่น Google Search, YouTube, และ Gmail ได้อย่างต่อเนื่องแม้มีผู้ใช้จำนวนมาก พร้อมทั้งลดเวลา downtime และเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและปรับปรุงระบบ ผลลัพธ์คือ Google สามารถให้บริการที่มีความเสถียรสูงและลดต้นทุนในการจัดการเซิร์ฟเวอร์
สรุป
กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบสมัยใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของซอฟต์แวร์อีกด้วย การนำแนวคิดอย่าง Agile, DevOps, Microservices, Cloud Computing, Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) มาใช้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างทันท่วงที
บรรณานุกรม

Beck, K., Beedle, M., van Bennekum, A., Cockburn, A., Cunningham, W., Fowler, M., Grenning, J., Highsmith, J., Hunt, A., Jeffries, R., Kern, J., Marick, B., Martin, R. C., Mellor, S., Schwaber, K., Sutherland, J., & Thomas, D. (2001). Manifesto for Agile Software Development. Agile Alliance.
Bass, L., Weber, I., & Zhu, L. (2015). DevOps: A Software Architect’s Perspective. Addison-Wesley.

Newman, S. (2015). Building Microservices: Designing Fine-Grained Systems. O’Reilly Media.

Armbrust, M., Fox, A., Griffith, R., Joseph, A. D., Katz, R., Konwinski, A., Lee, G., Patterson, D., Rabkin, A., Stoica, I., & Zaharia, M. (2010). A view of cloud computing. Communications of the ACM, 53(4), 50-58.

Jordan, M. I., & Mitchell, T. M. (2015). Machine learning: Trends, perspectives, and prospects. Science, 349(6245), 255-260.

Kniberg, H., & Ivarsson, A. (2012). Scrum and XP from the Trenches. Lulu.com.

Hightower, K., Burns, B., & Beda, J. (2017). Kubernetes: Up and Running. O’Reilly Media.

DeepSeek Chat. (2025). Large language model for generating text-based responses (Version 1.0) [Generative AI]. https://chat.deepseek.com

OpenAI. (2025). ChatGPT: A language model for generating human-like text (Version 4.0) [Generative AI]. https://chatgpt.com

Microsoft. (2025). Microsoft Copilot: AI-powered coding assistant (Version 1.0) [Generative AI]. https://copilot.cloud.microsoft