เทรนด์ขนมขบเคี้ยวปี 2025 – วิทยาศาสตร์เบื้องหลังความอร่อยและสุขภาพ
Student blog — 17/06/2025

เทรนด์ขนมขบเคี้ยวกับกระแสรักสุขภาพ
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าขนมขบเคี้ยวเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ทั้งเด็กๆและวัยรุ่น และทุกวัย หาซื้อได้ง่ายแต่เรารู้จักขนมขบเคี้ยวกันที่มีมูลค่าการตลาดกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี มากน้อยแค่ไหนนะ
อย่างแรก เราทานขนมขบเคี้ยวในช่วงเวลาไหนบ่อยกว่ากัน แน่นอนว่าก็เป็นตอนที่เราไปเที่ยวหรือสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือที่เรียกว่า “We Time” เป็นหลัก รองลงมาคือทานตอนเวลาที่อยู่กับตัวเอง ไม่ว่าจะทำงาน อ่านหนังสือ หรือพักผ่อน หรือที่เรียกว่า “Me Time” นั่นเอง
ตลาดของขนมขบเคี้ยวในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ตามยอดขาย คือ กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ยอดขายมากที่สุด ตามมาด้วยกลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต และกลุ่มขนมจากสาหร่ายหรือเนื้อสัตว์หรือถั่วต่างๆ
แล้วขนมขบเคี้ยวแต่ละอย่างก็จะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันไป รวมทั้งมีการคิดค้นนวัตกรรมความสร้างสรรค์ ด้วยการออกรสชาติหรือรูปแบบใหม่ๆ ขนมขบเคี้ยวแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น 3 ประเภท คือ
- ขนมขบเคี้ยวรุ่นแรก (First generation snacks, 1G snacks) เช่น มันฝรั่งทอด ข้าวโพดคั่ว ถั่ว ขนมปังกรอบและบิสกิต รวมทั้งขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากสาหร่าย เนื้อปลา ปลาหมึก กุ้ง หมู หรือไก่
- ขนมขบเคี้ยวรุ่นที่สอง (Second generation snacks, 2G snacks) ได้แก่ ขนมขบเคี้ยวประเภท puffed collets ขนมขบเคี้ยวประเภทนี้เป็นขนมขึ้นรูปที่ทำมาจากวัตถุดิบที่เป็นแป้งโดยใช้เครื่องเอ็กซ์ทรูเดอร์ ซึ่งขนมสุกพองขยายตัวทันทีที่ออกมาจากเครื่อง ที่เรียกว่า direct expansion snacks ขนมจะมีลักษณะเบาและกรอบ เช่น ขนมข้าวโพดอบกรอบ หรือ คอร์นพัฟ (corn puff)
- ขนมขบเคี้ยวรุ่นที่สาม (Third generation snacks, 3G snacks) ขนมขบเคี้ยวประเภทนี้ไม่ได้สุกพองขยายตัวทันทีที่ออกจากเครื่องเอ็กซ์ทรูเดอร์ต่างจากขนมขบเคี้ยวรุ่นที่สอง ขนมขึ้นรูปชนิดนี้จะถูกขึ้นรูปโดยใช้เครื่องเอ็กซ์ทรูเดอร์ให้ออกมาเป็นลักษณะรูปทรงต่างๆ เช่น รูปแท่ง รูปเกลียว หรือรูปสัตว์ต่าง ๆ แล้วจะนำไปทำให้แห้งก่อนนำไปทอดหรืออบให้เกิดการพองตัว จึงเรียกว่า indirect expansion snacks เป็นหลักการเดียวกับการทำข้าวเกรียบนั่นเอง ก่อนนำไปปรุงรสด้วยผงปรุงรสรสต่าง ๆ ตามต้องการ
แต่อย่างไรก็ดี เทรนด์การบริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น จากกระแสรักสุขภาพมากขึ้น บวกกับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะบริโภคโปรตีนมากขึ้น รวมถึงการบริโภคโซเดียมหรือเกลือที่ลดลง ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการด้านขนมขบเคี้ยวบางรายก็ได้ลดโซเดียมลง 30-50% นอกเหนือไปจากนี้ ทางภาครัฐของไทยเอง อย่างเช่น กรมสรรพสามิตก็พยายามจะผลักดันให้มีการจัดเก็บ ‘ภาษีความเค็ม’ หรือภาษีโซเดียมภายในปี 2568 นี้ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีการบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐานสากลถึง 2 เท่าจึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน และทำให้เป็นที่น่าจับตามองของเทรนด์นวัตกรรมขนมขบเคี้ยวในอนาคตอีกด้วย
#เทคโนโลยีขนมและนวัตกรรม#fti_utcc #scitech_utcc #foodscience #foodtech #foodinnovation #UTCC #เด็กหัวการค้า #มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย #DEK68
ที่มา:
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. “ตลาดขนมขบเคี้ยวไทย ปัจจัยบวกแผ่ว ยอดขายปี 2568 คาดโต 2% มูลค่า 50,400 ล้านบาท”